
- เทรนด์ และไอเดียธุรกิจ
- อัปเดตเทรนด์ธุรกิจ
วางแผนภาษีอย่างมืออาชีพสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารและคาเฟ่อัปเดตล่าสุด
ผู้ที่อยากทำธุรกิจร้านอาหารหรือคาเฟ่ให้คุมต้นทุนอยู่ สร้างกำไรได้อย่างมืออาชีพ จำเป็นต้องมีการวางแผนรายรับรายจ่าย สำหรับใช้ในการคำนวณภาษีและเพื่อการวางแผนภาษีอย่างรอบคอบในแต่ละปี โดยการจะเปิดร้านขายอาหารนั้น จำเป็นต้องขอใบอนุญาตตามกฎหมายก่อน ซึ่งปัจจัยในการคำนึงคือขนาดของร้านและกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นภายในร้าน เป็นต้น
ในบทความนี้จะพามาดูว่า ถ้าผู้ประกอบการมือใหม่ อยากจะเตรียมตัววางแผนเปิดร้าน จะต้องมีวิธีการทำรายรับรายจ่าย และการคำนวณเพื่อเสียภาษีอย่างไร มาดูกันเลย
การวางแผนรายรับ-รายจ่าย
ก่อนการวางแผนลดหย่อนภาษี ผู้ประกอบกิจการควรจัดการเอกสารรายรับ-รายจ่ายให้เป็นระเบียบเป็นหมวดหมู่ และทำเป็นประจำทุกเดือน โดยสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
1. ค่าวัตถุดิบ
แน่นอนว่าการขายอาหารหรือเครื่องดื่มจะต้องมีการลงทุนในต้นทุนวัตถุดิบ ดังนั้นเจ้าของร้านอาหารเองจำเป็นต้องทำรายการต้นทุน เพื่อที่จะได้นำไปตั้งราคาขายได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้หากมีการขายผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่ก็จะต้องคิดต้นทุนค่าแพ็กเกจจิ้งเพิ่มเติม
2. ค่าแรงพนักงาน
อีกหนึ่งรายจ่ายส่วนสำคัญคือค่าแรงพนักงานภายในร้าน โดยจะต้องวางแผนทั้งในส่วนของรายจ่ายสำหรับพนักงงานประจำและพนักงานรายวัน หรือสวัสดิการพิเศษอื่น ๆ ดังนั้นการตั้งงบประมาณและวางแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ จะสามารถช่วยให้เจ้าของร้านบริหารเงินได้อย่างราบรื่น
3. ค่าการตลาด
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการตลาดเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล ดังนั้นหากมีการวางแผนอยากโปรโมตการตลาด ก็ต้องมีการแบ่งงบประมาณไว้สำหรับการทำการตลาดด้วยเช่นกัน
4. ค่าเช่าร้านและสาธารณูปโภค
หากใครที่ต้องเช่าพื้นที่เพื่อสร้างร้านอาหารหรือคาเฟ่ ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ตามมาด้วย อาทิ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ เพราะค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็เป็นต้นทุนที่จะต้องคำนวนในรายจ่ายแต่ละเดือนด้วยเช่นกัน
ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงภาษีประเภทใดบ้าง?
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ผู้ประกอบการบุคคลธรรมดา ต้องยื่นแบบชำระภาษีปีละ 2 ครั้ง ซึ่งถ้าจะให้สะดวกในการสรุปรายรับ- รายจ่าย เพื่อเก็บไว้ใช้เป็นหลักฐาน โดยการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยื่นแบบชำระภาษีปีละ 2 ครั้ง ได้แก่ ครั้งแรกยื่นตามแบบ ภ.ง.ด.94 ในเดือนกันยายนสำหรับเงินได้ในเดือน มกราคม - มิถุนายน ครั้งที่ 2 ยื่นตามแบบ ภ.ง.ด.90 ในเดือนมีนาคมของปีถัดไปสำหรับเงินได้ ในเดือนมกราคม - ธันวาคม โดยนำภาษีที่จ่าย ครั้งแรกมาหักออกจากภาษีที่คำนวณได้ในครั้งที่ 2
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ภาษีมูลค่าเพิ่ม Value Added Tax (VAT) คือภาษีอากรที่เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ ซึ่งถือเป็นภาษีทางอ้อม โดยในฐานะผู้ประกอบการก็จะเรียกเก็บจากผู้บริโภคจากการซื้อสินค้าและบริการที่บวกลงไปในราคาขาย และจะต้องนำภาษีนั้นไปส่งให้กับกรมสรรพากรเพื่อเข้าสู่คลังของประเทศต่อไป สำหรับสูตรการคำนวณ VAT คือ
“ราคาสินค้า/บริการ x 7% = ภาษีมูลค่าเพิ่ม”
3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือการจัดเก็บภาษีล่วงหน้า โดยกำหนดให้ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่หักภาษีจากเงินที่จ่ายให้แก่ผู้รับ ซึ่งการหักภาษีต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด หลังจากนั้นให้นำเงินส่วนนี้ส่งให้กรมสรรพากร อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ VAT ได้ที่นี่
4. ภาษีป้าย
ภาษีป้ายคือภาษีร้านอาหารที่กฎหมายได้มีการกำหนดให้เจ้าของกิจการติดป้ายชื่อร้าน ซึ่งการติดป้ายจะต้องเสียภาษีตาม พ.ร.บ. ภาษีป้าย พ.ศ. 2510 โดยมีข้อกำหนดดังต่อไปนี้
- ป้ายที่มีอักษรภาษาไทยล้วน : อัตราภาษีป้าย 5,10 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
- ป้ายที่มีอักษรภาษาไทยปนภาษาต่างประเทศ และ/หรือปนกับภาพ และ/หรือเครื่องหมายอื่น : อัตราภาษีป้าย 26, 52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
- ป้ายที่ไม่มีอักษรไทยไม่ว่าจะมีภาพหรือเครื่องหมายใด ๆ และป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วน หรือทั้งหมดอยู่ใต้หรือต่ำกว่าอักษรต่างประเทศ : อัตราภาษีป้าย 50, 52 บาท ต่อ 500 ตร.ซม.
5. ภาษีที่ดิน
ผู้เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์อย่างคาเฟ่หรือร้านอาหาร มีหน้าที่ต้องชำระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตามมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตราดังต่อไปนี้
- 0-50 ล้านบาท : เสียภาษีในอัตรา 0.3% หรือคิดเป็นล้านละ 3,000 บาท
- 50-200 ล้านบาท : เสียภาษีในอัตรา 0.4% หรือคิดเป็นล้านละ 4,000 บาท
- 200-1,000 ล้านบาท เสียภาษีในอัตรา 0.5% หรือคิดเป็นล้านละ 5,000 บาท
สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ประกอบการ
ในฐานะเจ้าของกิจการจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับรายรับรายจ่ายทั้งหมด เพื่อที่จะได้วางแผนภาษีลดหย่อนตามสิทธิ์มาตรฐาน โดยสิทธิ์ที่สามารถนำไปลดหย่อนได้มีดังนี้
1. ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นของทรัพย์สิน
ผู้ประกอบการสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในอัตรา 40% ของมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินได้แก่ คอมพิวเตอร์ เครื่องจักร อีกทั้งยังสามารถลดหย่อนภาษีในอัตรา 20% ของทรัพย์สินประเภทโรงงานได้อีกด้วย
2. ค่าจ้างผู้สูงอายุอายุ 60 ปีขึ้นไป ไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท
ผู้ประกอบการสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนในส่วนของค่าจ้างผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปได้ โดยสามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่า เพียงแค่เจ้าของแจ้งการจ้างงานผู้สูงอายุผ่านทางเว็บไซต์กรมสรรพากรได้ที่นี่
3. ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมและพัฒนาฝีมือแรงงาน
หากทางร้านค้ามีการส่งลูกจ้างเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะและฝีมือแรงงาน สามารถนำค่าใช้จ่ายในส่วนนี้มาลดหย่อนภาษีในส่วนของรายจ่ายได้ 2 เท่า
4. ค่าน้ำมันรถ
ค่าน้ำมันมาบันทึกเป็นค่าใช้จ่าย เพื่อลดหย่อนภาษีได้ โดยสิ่งสำคัญคือการเก็บหลักฐานต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือให้ครบถ้วน เพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร
เตรียมวางแผนยื่นภาษี
1. คำนวณต้นทุนเพื่อลดหย่อนภาษี
ไม่ว่าจะเปิดร้านอาหารหรือคาเฟ่ล้วนแต่มีค่าใช้จ่าย ดังนั้นเมื่อต้นทุนสูงก็จะสามารถนำมาคำนวณในส่วนของค่าใช้จ่ายได้สูงด้วยเช่นกัน เพราะการคำนวณภาษีหลักจากหักค่าใช้จ่ายตามจริงแล้ว จึงจะนำกำไรมาคำนวณเพื่อจ่ายภาษี โดยหากเป็นบุคคลธรรมดาจะต้องเสียภาษีไม่เกิน 1 ใน 3 ของกำไร (อัตราภาษีบุคคลธรรมดาสูงสุดอยู่ที่ 35%)
สำหรับการเตรียมเอกสารเพื่อหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีนั้น จะต้องมีข้อมูลสำคัญระบุชัดเจนดังต่อไปนี้
- ชื่อ
- ที่อยู่ของผู้ซื้อ
- ที่อยู่ของผู้ขาย
- หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี หรือ หมายเลขบัตรประชาชนของคู่ค้า
- รายละเอียดสินค้า หรือ บริการ
- จำนวนเงิน
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ รายจ่ายที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ทำอยู่ โดยจะต้องมีเอกสารต่าง ๆ ดังนี้
- ใบเสร็จรับเงิน
- ใบกำกับภาษี
- บิลเงินสด
- ใบสำคัญรับเงิน
2. ยื่นภาษีแบบค่าใช้จ่ายเหมา
ผู้ประกอบการสามารถเลือกหักภาษีแบบเหมา 60% ของรายได้ ซึ่งการยื่นภาษีแบบนี้ ผู้ประกอบการไม่ต้องแสดงหลักฐานค่าใช้จ่ายใด ๆ โดยเมื่อมีเงินได้สุทธิในจำนวนที่มากกว่า 150,000 บาท นั่นหมายความว่ามีหน้าที่ต้องชำระภาษี โดยมีสูตรคำนวณดังนี้
เงินได้สุทธิ = (เงินได้-ค่าใช้จ่าย-ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี
นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังสามารถใช้ตัวช่วยสำหรับการลดหย่อนภาษีได้ อาทิ
- การลงทุนในกองทุน SSF
- กองทุน RMF
- เบี้ยประกันชีวิต
3. ภาษีคือต้นทุนสินค้า
อีกหนึ่งข้อสำคัญคือ ภาษีที่ต้องจ่ายคือต้นทุนของราคาสินค้าและบริการต่าง ๆ ดังนั้นเจ้าของร้านอาหารควรจะนำภาษีที่จ่ายไป มาคำนวณเป็นต้นทุนสินค้าด้วย เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตั้งราคาอาหารผิดพลาด ที่อาจนำไปสู่สถานการณ์ขาดทุนในที่สุด
เรียกได้ว่าการวางแผนภาษีคือหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องให้ความสำคัญ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น และสามารถบริหารเวลาได้โปรกว่าใคร ขับเคลื่อนธุรกิจให้ไปไกลได้กว่าที่เคย เพราะถ้าหากไม่ได้การชำระภาษีภายในเวลาที่กำหนด จะทำให้ถูกสรรพากรตรวจสอบย้อนหลัง และอาจนำมาซึ่งผลกระทบด้านกฎหมายอื่น ๆ อีกมากมาย
ขอขอบคุณที่มา