
- เทรนด์ และไอเดียธุรกิจ
- อัปเดตเทรนด์ธุรกิจ
กาแฟคั่วเข้ม คั่วกลาง กาแฟคั่วอ่อน ต่างกันอย่างไร
ในการทำธุรกิจกาแฟ ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟขนาดเล็ก คาเฟ่แฟรนไชส์ หรือร้านกาแฟ Specialty การเข้าใจความแตกต่างของ "ระดับการคั่ว" ของเมล็ดกาแฟ ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ร้านมีเอกลักษณ์โดดเด่น และตอบโจทย์ลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม เพราะกาแฟคั่วเข้ม คั่วกลาง หรือกาแฟคั่วอ่อน นั้นไม่ได้แตกต่างกันแค่เรื่องสีของเมล็ดหรือความขมเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงระดับคาเฟอีน และกลิ่นที่จะสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟได้ด้วย บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจถึงความแตกต่าง พร้อมเทคนิคการเลือกใช้ประเภทกาแฟให้เหมาะกับธุรกิจ จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย
ความสำคัญของระดับการคั่วกาแฟต่อธุรกิจคาเฟ่
เคล็ดลับการสร้างธุรกิจร้านกาแฟคาเฟ่ให้ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องของการเลือกเมล็ดกาแฟเท่านั้น แต่ระดับการคั่วคือ กุญแจสำคัญที่กำหนดสไตล์ของกาแฟแต่ละแก้ว เพราะการคั่วจะส่งผลโดยตรงต่อกลิ่น รสชาติ และโครงสร้างของกาแฟ
เมล็ดกาแฟที่คั่วต่างระดับจะให้สัมผัสที่แตกต่างกัน บางเมล็ดมีความเปรี้ยวสดชื่น บางเมล็ดให้ความขมเข้ม สัมผัสนุ่มลึก จึงไม่แปลกที่หลายร้านกาแฟประสบความสำเร็จจากการเลือกใช้เมล็ดกาแฟและระดับการคั่วที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน ยิ่งถ้าคุณต้องการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะของร้าน การเลือก "โปรไฟล์การคั่ว" เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ไม่ควรมองข้าม
ระดับการคั่วของกาแฟ คืออะไร
โดยทั่วไป ระดับการคั่วของกาแฟแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ กาแฟคั่วอ่อน (Light Roast), กาแฟคั่วกลาง (Medium Roast) และ กาแฟคั่วเข้ม (Dark Roast) ซึ่งแต่ละแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น
- เมล็ดกาแฟคั่วอ่อน ผ่านการคั่วในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า เวลาคั่วสั้นกว่า ทำให้ยังคงรักษาความเป็นธรรมชาติของเมล็ด เช่น กลิ่นผลไม้หรือดอกไม้ รสชาติจะมีความเปรี้ยวเล็กน้อยและให้ปริมาณคาเฟอีนสูง
- เมล็ดกาแฟคั่วกลาง จะมีความสมดุล รสไม่เปรี้ยวเกินไป กลิ่นหอมเข้มเล็กน้อย นิยมมากในตลาด เพราะสามารถนำไปทำเมนูได้หลากหลายทั้งร้อนและเย็น
- เมล็ดกาแฟคั่วเข้ม จะผ่านการคั่วในอุณหภูมิสูงกว่า รสชาติหนักแน่น ขมเล็กน้อย และมีกลิ่นควันไหม้หอม ๆ คาเฟอีนต่ำลง เนื่องจากความร้อนทำให้คาเฟอีนบางส่วนสลายไป
กาแฟคั่วอ่อนหรือกาแฟคั่วเข้ม มีคาเฟอีนมากกว่ากัน
โดยทั่วไป กาแฟคั่วอ่อนจะมีปริมาณคาเฟอีนมากกว่า แม้รสชาติจะดูเบาบาง ใส คลีน แต่กระบวนการที่ใช้ความร้อนต่ำและเวลาคั่วสั้น ทำให้คาเฟอีนยังคงอยู่มากกว่าเมล็ดที่คั่วเข้ม สำหรับร้านกาแฟที่ต้องการจับกลุ่มลูกค้าที่ชอบความตื่นตัว หรือคอกาแฟสาย Specialty ที่เน้นคาเฟอีนสูง กาแฟคั่วอ่อนจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ในขณะที่ลูกค้าที่ไม่ต้องการคาเฟอีนเยอะ กาแฟคั่วเข้มอาจตอบโจทย์ได้ดีกว่า
อุณหภูมิการคั่วที่เหมาะสมสำหรับกาแฟแต่ละระดับ
อุณหภูมิการคั่วเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อรสชาติของกาแฟโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดกาแฟคั่วเข้ม เมล็ดกาแฟคั่วอ่อน และเมล็ดกาแฟคั่วอ่อน
- กาแฟคั่วอ่อน (Light Roast) จะใช้อุณหภูมิประมาณ 180-205°C เพื่อคงโครงสร้างและรสชาติดั้งเดิมของเมล็ด
- กาแฟคั่วกลาง (Medium Roast) ใช้อุณหภูมิประมาณ 210-220°C รสชาติสมดุล ไม่เปรี้ยวหรือเข้มจนเกินไป
- กาแฟคั่วเข้ม (Dark Roast) ต้องใช้ความร้อนตั้งแต่ 225°C ขึ้นไป เพื่อให้ได้เมล็ดสีเข้ม รสเข้มข้น กลิ่นไหม้เล็กน้อย
เปรียบเทียบรสชาติและคุณสมบัติของกาแฟแต่ละระดับ
กาแฟคั่วเข้ม (Dark Roast)
เมล็ดกาแฟคั่วเข้มเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการรสชาติหนักแน่น ติดขมเล็กน้อย เช่น คาเฟ่ทั่วไป ร้านกาแฟแฟรนไชส์ หรือร้านที่ต้องการชงกาแฟเย็นปริมาณมาก ๆ ลักษณะของเมล็ดจะมีสีเข้ม มีน้ำมันเคลือบบนผิวเมล็ดเล็กน้อย กลิ่นควันไหม้โดดเด่น รสชาติเข้ม กลบความเปรี้ยวไปหมด
หากต้องการทำเมนูกาแฟเข้ม ๆ สามารถเลือกใช้ เนสกาแฟ เอ็กเซลเลนท์เต้ เมล็ดกาแฟคั่วเข้มคู่กับเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติอย่าง เครื่องชงกาแฟจาก Nestlé Professional ที่จะช่วยควบคุมคุณภาพในทุกแก้ว ทำได้หลากหลายเมนู
กาแฟคั่วกลาง (Medium Roast)
เมล็ดกาแฟคั่วกลาง ถือเป็นทางสายกลางที่ร้านกาแฟส่วนใหญ่เลือกใช้ รสชาติมีความบาลานซ์ กลิ่นหอมถั่วหรือช็อกโกแลตนุ่ม ๆ ลักษณะเมล็ดสีน้ำตาลกลาง ไม่มีน้ำมันเคลือบผิวเยอะ
เหมาะสำหรับทำเมนูทั้งกาแฟร้อนและเย็น เช่น ลาเต้ คาปูชิโน่ หรือกาแฟดริป สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการความสะดวกและคุณภาพ สามารถเลือกใช้ เนสกาแฟ อโรมาติโก้ เมล็ดกาแฟแท้คั่วกลาง เหมาะสำหรับทั้งเมนูกาแฟร้อนและเย็น
กาแฟคั่วอ่อน (Light Roast)
เมล็ดกาแฟคั่วอ่อน สาย Specialty Coffee ต้องไม่พลาดกาแฟคั่วอ่อน โดยจะได้คาเฟอีนสูง มีกลิ่นหอมละมุน และความเปรี้ยวสดชื่นโดดเด่น ลักษณะเมล็ดสีน้ำตาลอ่อน ไม่มีน้ำมันเคลือบผิว นิยมใช้กับวิธีชงแบบดริป Pour-over หรือ French Press
ความเหมาะสมของระดับการคั่วกับธุรกิจแต่ละประเภท
ร้านกาแฟ Specialty
เหมาะกับกาแฟคั่วอ่อนหรือคั่วกลาง เพื่อโชว์เอกลักษณ์เมล็ดกาแฟจากแหล่งปลูกต่าง ๆ ดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจคุณภาพและรสชาติ
คาเฟ่ทั่วไปและแบรนด์กาแฟพรีเมียม
นิยมใช้คั่วกลาง เพราะดื่มง่าย เข้ากันได้ดีกับเมนูนมและกาแฟเย็น สร้างความหลากหลายให้เมนูร้านกาแฟ
ร้านแฟรนไชส์หรือกาแฟสำเร็จรูป
กาแฟคั่วเข้มเป็นตัวเลือกที่เหมาะ รสชาติเข้มข้น ชงง่ายด้วยเครื่องชงอัตโนมัติ
ไม่ใช่แค่การคั่วแต่การเลือกสายพันธุ์กาแฟก็สำคัญ
ในโลกธุรกิจกาแฟ เมล็ดกาแฟไม่ได้มีแค่เรื่องของการคั่วหรือรสชาติเท่านั้น แต่ "สายพันธุ์" ของเมล็ดกาแฟก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเมล็ดกาแฟสองชนิดที่ถือเป็นหัวใจหลักของอุตสาหกรรมกาแฟทั่วโลก นั่นก็คือ อาราบิก้า (Arabica) และ โรบัสต้า (Robusta) ที่สองสายพันธุ์นี้ต่างมีเอกลักษณ์แตกต่างชัดเจน และส่งผลโดยตรงต่อรสชาติกาแฟ
อาราบิก้า กาแฟสายพรีเมียมที่ให้มากกว่าความหอม
สายพันธุ์อาราบิก้าเป็นกาแฟที่ต้องการความพิถีพิถัน ตั้งแต่กระบวนการปลูกไปจนถึงการคั่ว จุดเด่นคือปลูกในที่สูง อากาศเย็น จึงเติบโตช้ากว่า แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือเมล็ดที่เต็มไปด้วยมิติของรสชาติ ทั้งกลิ่นผลไม้ เปรี้ยวอมหวาน ไปจนถึงกลิ่นโทนดอกไม้จาง ๆ เหมาะกับผู้ที่หลงใหลกาแฟที่มีโปรไฟล์เฉพาะตัว ให้รสสัมผัสที่หลากหลายและซับซ้อน เหมาะกับร้านที่เน้นความพรีเมียม เช่น ร้าน Specialty หรือคาเฟ่ที่อยากนำเสนอความแตกต่างในทุกแก้ว
โรบัสต้า กาแฟสายเข้ม ตอบโจทย์ความหลากหลาย
สายพันธุ์โรบัสต้าเป็นกาแฟที่มีความแกร่ง ปลูกง่าย ทนแดดทนฝน จุดเด่นของโรบัสต้าอยู่ที่รสชาติที่เข้มข้น หนักแน่น คาเฟอีนสูง จึงเหมาะสำหรับลูกค้าที่ชอบกาแฟเข้ม ๆ หรือร้านที่ขายกาแฟเย็น กาแฟใส่นม ที่ยังสามารถคงรสชาติความเข้มข้นของกาแฟไว้ได้ แม้จะเจอน้ำแข็งหรือส่วนผสมนม
เรียกได้ว่าการทำธุรกิจร้านกาแฟและคาเฟ่ให้ประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นต้องใส่ใจและให้ความสำคัญทั้งการเลือกสายพันธุ์กาแฟ และระดับการคั่วเมล็ด เพื่อเป็นพื้นฐานกาแฟในการนำไปสร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างในแต่ละเมนู ที่จะสามารถช่วยให้ธุรกิจร้านกาแฟของคุณเติบโตได้จริง
สำหรับผู้ประกอบการคนไหนที่สนใจ อยากได้รับคำแนะนำในการเลือกเมล็ดกาแฟหรือเทคนิคในการทำธุรกิจร้านกาแฟให้ประสบความสำเร็จ สามารถติดต่อเนสท์เล่ โพรเฟสชันนัลได้เลยวันนี้
โทร 02-657-8625 กด 1
แอด LINE ได้ที่ @NestleProfessional