
- เทรนด์ และไอเดียธุรกิจ
- อัปเดตเทรนด์ธุรกิจ
7 กลยุทธ์บริหารต้นทุนร้านกาแฟ เอาตัวให้รอดในยุคกาแฟแพง!
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเมล็ดกาแฟแพงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากหลายปัจจัย อย่างปัญหาสภาพอากาศที่กระทบต่อแหล่งปลูกเมล็ดกาแฟทั่วโลก ผลที่ตามมาคือผู้ประกอบการต้องเผชิญกับต้นทุนกาแฟต่อแก้วที่สูงขึ้น ทำให้การรักษากำไรและคุณภาพควบคู่กัน กลายเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการในตอนนี้
แน่นอนว่าปัญหานี้สามารถแก้ไขได้หากมีการวางแผนอย่างรอบคอบ และใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสม บทความนี้จะพาผู้ประกอบการมาดูวิธีการลดต้นทุนร้านกาแฟ โดยไม่ลดทอนคุณภาพ พร้อมเสนอแนวทางที่นำไปใช้ได้จริง เพื่อรักษาฐานลูกค้าให้อยู่กับร้านคุณได้ในระยะยาว
1. วางแผนการซื้อวัตถุดิบ
การวางแผนจัดซื้อวัตถุดิบอย่างเป็นระบบช่วยลดต้นทุนร้านกาแฟได้มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะเมล็ดกาแฟที่ถือเป็นหัวใจหลักของธุรกิจ ควรเริ่มจากการวิเคราะห์ยอดขายเฉลี่ยในแต่ละเดือน เพื่อคำนวณปริมาณวัตถุดิบที่ต้องใช้ และวางแผนสั่งซื้อในจำนวนเหมาะสม
หรือหากเป็นไปได้การเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์เพื่อทำสัญญาระยะยาว หรือซื้อแบบล็อตใหญ่ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการได้ราคากาแฟที่ดีกว่า ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด หรืออีกทางหนึ่งคือ พิจารณาใช้เมล็ดกาแฟเบลนด์คุณภาพดีในราคาที่ประหยัดกว่าเมล็ดแบบพรีเมียม เพื่อคงรสชาติที่ลูกค้าชื่นชอบเอาไว้
2. คำนวณสต๊อกสม่ำเสมอ
การเก็บสต็อกมากเกินไปไม่เพียงแต่สินเปลืองพื้นที่ แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงของการเสียหายหรือการเสื่อมคุณภาพของวัตถุดิบโดยไม่จำเป็น การใช้ระบบ POS (Point of Sale System) หรือแอปพลิเคชั่นเข้ามาช่วยจัดการสต็อกแบบเรียลไทม์ จะช่วยให้เจ้าของร้านสามารถวางแผนได้แม่นยำยิ่งขึ้น หรือแม้แต่การวางระบบ FIFO (First-In-First-Out) ก็เป็นกลยุทธ์ที่ง่ายแต่ช่วยให้ร้านบริหารการใช้วัตถุดิบได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด เพื่อลดการเสียหายจากสต๊อกสินค้าหมดอายุ ซึ่งจุดนี้จะส่งผลโดยตรงต่อการควบคุมต้นทุนร้านกาแฟ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างเช่น การรู้ว่าช่วงเวลาไหนขายดีหรือขายน้อย จะช่วยให้คุณจัดสรรวัตถุดิบและแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมต้นทุนกาแฟต่อแก้วให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
3. เลือกขนาดแก้วให้พอดีกับแต่ละเมนู
หนึ่งในกลยุทธ์ที่ง่ายสำหรับลดต้นทุนกาแฟและรักษากำไรอย่างยั่งยืนคือ การปรับขนาดไซส์แก้วให้เล็กลง โดยไม่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับบริการที่ลดคุณภาพลง ซึ่งการลดขนาดแก้วลงจะช่วยให้ต้นทุนในการใช้วัตถุดิบต่าง ๆ ลดลง ขณะเดียวกันยังสามารถเพิ่มความเข้มข้นของเครื่องดื่ม เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รสชาติที่คุ้มค่าแม้จะลดปริมาณลงก็ตาม วิธีนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนกาแฟ แต่ยังช่วยเพิ่มความรู้สึกพิเศษให้กับลูกค้าในการเลือกซื้อเมนูใหม่ ๆ ที่มีเอกลักษณ์มากขึ้น
4. สร้างสรรค์เมนูใหม่เพิ่ม
ในสภาวะที่เมล็ดกาแฟแพง ร้านค้ามีแนวทางที่จะสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจได้ เช่น
- ใช้สร้างสรรค์เมนูกาแฟสูตรเข้มขึ้น เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าแม้ปริมาณจะน้อยลง
- สร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ ที่มีเบสเป็นส่วนผสมจากเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ เช่น นม, น้ำมะพร้าว, น้ำส้ม, โซดา เป็นต้น
ตัวอย่างเมนูใหม่จากเนสท์เล่ โปรเฟสชันนัล “เอสเย็นเชค”
เอสเย็นเชค กาแฟเย็นสไตล์ใหม่ที่ใช้ช็อตเอสเพรสโซ่แบบเข้มข้นจากเนสกาแฟบาริสต้า เสิร์ฟในแก้วเล็กพกพาง่าย เพิ่มประสบการณ์ดื่มแบบสดชื่น แต่ยังคงกลิ่นรสกาแฟเต็มที่ ผสมผสานกับนมข้นหวานชนิดผง และคอฟฟีเมตซึ่งสามารถตั้งราคาสูงขึ้นในขณะที่ต้นทุนแทบไม่ต่างจากเดิมได้ด้วย
เมนูเย็นสไตล์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยควบคุมต้นทุนกาแฟต่อแก้ว แต่ยังถูกปากคนไทย ซึ่งจะนำมาสู่การช่วยเพิ่มยอดขาย และการแชร์ต่อในโซเชียลมีเดียอีกด้วย
คลิกที่นี่เพื่อดูสูตรสร้างสรรค์เมนูใหม่
5. เพิ่มช็อตกาแฟ
การเพิ่มช็อตกาแฟในเครื่องดื่มแต่ละแก้ว ด้วยกาแฟผงสำเร็จรูปหรือช็อตกาแฟสดเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สามารถช่วย เพิ่มมูลค่าของเครื่องดื่ม โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุน เพราะการเพิ่มช็อตกาแฟจะช่วยทำให้กาแฟมีความเข้มข้น ทำให้ลูกค้าที่ชื่นชอบกาแฟเข้มจะรู้สึกว่าคุ้มค่ามากขึ้น และสามารถเลือกเพิ่มช็อตกาแฟได้ตามต้องการ อีกทั้งร้านค้ายังสามารถปรับราคาขายขึ้น 5 - 10 บาท ได้อีกด้วย ซึ่งการตั้งราคาเพิ่มสำหรับการเพิ่มช็อตกาแฟนั้นจะช่วยให้ร้านกาแฟสามารถเพิ่มมูลค่าได้โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มต้นทุนมากนัก
6. ใช้วัตถุดิบที่ทำได้หลากหลายเมนู
ร้านกาแฟยังสามารถใช้เทคนิคการต่อยอดวัตถุดิบหลัก เพื่อสร้างสรรค์เป็นเมนูที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น วีครีม ท็อปปิ้งโฟมชนิดผง ผลิตภัณฑ์สำหรับทำโฟมครีมที่นำไปใช้ได้หลากหลายเมนูทั้งท็อปปิ้งเครื่องดื่ม เบเกอรี่ และขนม จากผลิตภัณฑ์แค่หนึ่งถุง
นอกจากนี้ร้านกาแฟยังสามารถทำสินค้า Merchandise ต่อยอดขายได้ เช่น การใช้กากกาแฟมาทำสบู่สครับ หรืออาจจะจัดเป็นโปรโมชั่นแจกฟรีเมื่อซื้อสินค้า รณรงค์ให้ลูกค้านำกลับไปปลูกต้นไม้เพื่อลดการสูญเปล่า และยังเป็นการสร้างความประทับใจให้ลูกค้าอยากกลับมาซื้อซ้ำอีกด้วย
7. เพิ่มช่องทางการขาย
การเพิ่มช่องทางการขาย เช่น การเปิดบริการส่งเดลิเวอรี่ หรือการรับคำสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชันออนไลน์จะช่วยให้ร้านกาแฟสามารถขยายฐานลูกค้า และเพิ่มยอดขายในช่วงเวลาที่ลูกค้าไม่สามารถมาที่ร้านได้ การใช้ช่องทางออนไลน์ไม่เพียงแต่ช่วยขยายการเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ แต่ยังสามารถลดต้นทุนจากการให้บริการที่ร้านที่อาจไม่เหมาะสมในช่วงเวลาที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งการมีตัวเลือกให้บริการที่ยืดหยุ่น และสะดวกสบายจะช่วยให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ และเพิ่มยอดขายได้ในระยะยาว
สรุป! บริหารร้านคาเฟ่ให้รอดต้องสู้ด้วยกลยุทธ์
แม้เรื่องของต้นทุนกาแฟจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากราคาต้นทุนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยภายนอก แต่ผู้ประกอบการร้านกาแฟยังมีทางเลือกมากมายในการรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การบริหารจัดซื้อ จัดสต็อกเมนูขายดี ไปจนถึงการสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ
อย่าลืมว่า "การลดต้นทุนกาแฟ" ไม่จำเป็นต้องหมายถึง "การลดคุณภาพ" หากใช้ทุกทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและฉลาดในการวางแผน ผู้ประกอบการก็จะสามารถรักษาความพึงพอใจของลูกค้าและสร้างกำไรให้ร้านได้อย่างต่อเนื่อง
เนสท์เล่ โปรเฟสชันนัล ผู้นำด้านโซลูชันอาหารและเครื่องดื่มสำหรับผู้ประกอบการ ด้วยประสบการณ์ยาวนานในการทำงานร่วมกับร้านกาแฟ ร้านอาหาร โรงแรม และธุรกิจบริการ เราเข้าใจถึงความท้าทายในการบริหารต้นทุนและคุณภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบ ไปจนถึงการคิดค้นเมนูใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งลูกค้าและผู้ประกอบการ ความเชี่ยวชาญของเราจึงไม่ใช่แค่เพียงการผลิตสินค้า แต่ยังรวมถึงการให้คำปรึกษาเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ประกอบการ รวมไปถึงการพัฒนาสูตร การบริการ และซัพพอร์ตทุกการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน
สำหรับผู้ประกอบการคนไหนที่สนใจ อยากได้คำแนะนำในการทำธุรกิจคาเฟ่เพิ่มเติม สามารถติดต่อเนสท์เล่ โพรเฟสชันนัลได้เลยวันนี้
- โทร 02-657-8625 กด 1
- แอด LINE ได้ที่ @NestleProfessional